วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

พออายุเริ่มมากขึ้นถึงค่อยเข้าใจ

ใส่นาฬิการาคาสามร้อยหรือสามล้าน เวลาก็ตรงกัน
หิ้วกระเป๋าสามร้อยหรือสามหมื่นในกระเป๋าก็ใส่เงินได้เหมือนๆกัน
ดื่มเหล้าสามสิบหรือสามพันเวลาอาเจียนก็เหมือนกัน
อยู่บ้านสามสิบวาหรือสามร้อยวาเวลาโดดเดี่ยวก็ไม่ต่างกัน
สูบบุหรี่ สิบบาทหรือร้อยบาทก็เป็นมะเร็งปอดเหมือนกัน
นั่ง First Class หรือ Economy เวลาเครื่องเกิดอุบัติเหตุก็กลับมาไม่ได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นคิดให้เข้าใจพอเพียงถึงมีความสุขถาวร
สิ่งสำคัญ... ขอแค่มีเพื่อนเก่าๆอยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ไร้สาระบ้าง หัวเราะกันบ้าง จิปาถะ โน่น นี่ นั่น จึงเป็นสิ่งที่มีความสุข...
จริงมั้ย มีใครจะปฏิเสธบ้าง?

เมียใครเจ๋งกว่ากัน

คนแรกไปซื้อผงซักฟอก เห็นข้างกล่องเขียนว่า เปิดที่นี่ ดันไปถามคนขายว่า เปิดที่บ้านได้มั๊ยค๊ะ 

คนที่สอง ไปหาหมอ 
พอเสร็จ คุณพยาบาลบอกว่ารอรับยาช่องสาม กลับลงมาขึ้นแท๊กซี่ ไปอาคารมาลีนนท์

คนที่สาม
ไปหาหมอที่โรง
พยาบาลศิริราช พยาบาล
ให้ไปนั่งรอฝั่งโน้น คนไข้
ก็เลยนั่งเรือข้ามฟากไป
นั่งรอที่ท่าพระจันทร์

ไหมกับใหม่

ไหมกับใหม่เป็นเพื่อนกัน
ใหม่มีอาชีพเป็นนักร้องในร้านอาหารที่ไหมเป็นเจ้าของ
วันหนึ่ง ร้านอาหารของไหม
เกิดไฟไหม้
ใหม่จึงโทรหาไหม ด้วยความเป็นห่วงทรัพย์สิน
ต่างๆโดยห่วงไมค์ราคาแพง
มาก แล้วถามว่า
"ไมค์ใหม่ไหม้มั้ยไหม"

ไหม : ไอ้นี่ถ้าจะบ้ากูยิ่งเครียดอยู่ โทร.มาผันวรรณยุกต์ให้กูฟังไมวะ ?


แฟนไม่ยอดแต่งงานด้วย

A : มึงเป็นอะไร ทำไมกินเหล้าจนเมาขนาดนี้ เหมือนสุนัขเลยมึง
B : กูอกหัก เจนนี่ไม่ยอมแต่งงานกับกู
B: เป็นไปได้งัยวะ บ้านมึงรวยขนาดนี้ มึงบอกเจนนี่ไปหรือเปล่าว่าพ่อมึงรวยเป็นพัน ๆ ล้าน และมีมึงเป็นลูกคนเดียว อีกไม่นาน มึงก็จะได้มรดกพ่อมึงแล้ว
B : ก็เพราะกูพูดแบบมึงพูด ว่าพ่อกูรวยเป็นพัน ๆ ล้าน อีกไม่นานเงินก็จะตกเป็นของกู  เจนนี่เลยไปแต่งงานกับพ่อกู......
B : !!!

หมัดเกาะหนวดสจ๊วต

หมัดตัวนึง อยู่มาวันหนึ่งคิดอยากเดินทางไปหาที่อยู่ในต่างประเทศ มันจึงใช้วิธีกระโดดเกาะหนวดของสจ๊วตเครื่องบินแห่งหนึ่งไป

พอเครื่องบิน บินขึ้นไปที่ความสูงมาก ๆ อากาศก็เริ่มเย็นและหนาว หมัดคิดว่า จะต้องหาแหล่งที่อยู่ใหม่เกาะที่อบอุ่นกว่าหนวดของสจ๊วต

ดังนั้น มันจึงถือโอกาสตอนสจ๊วตเข้าห้องน้ำ กระโดดออกจากหนวดของสจ๊วตและหลบที่ฝาชักโครก

ไม่นานนัก ก็มีแอร์โฮสเตทสาวสวยมาห้องน้ำ

หมัดเหลือบมองไปที่แหล่งขนใหม่ของแอร์โฮสเตทแล้วฝันว่า  มันช่างเป็นที่อยู่ที่อบอุ่นเพราะมีที่ให้หลบหนาวได้เป็นอย่างดี

มันจึงตัดสินใจไม่รอช้า  รีบกระโดดเกาะและหลบเข้าไปอยู่ทันที

และด้วยความอุ่นสบายของที่อยู่ใหม่  หมัดเผลอหลับไปหลายชั่วโมง  แต่เมื่อหมัดตื่นขึ้นมา  หมัดก็ต้องพบกับความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง

เมื่อเห็นว่าตัวเอง....กลับมาเกาะอยู่ที่หนวดของสจ๊วตเหมือนเดิม!!!!!!

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

ลุงถอนเงิน 3,000 บาท


ลุงคนหนึ่งเดินเข้าธนาคารเพื่อที่จะถอนเงิน 3,000 บาท
พนักงาน : ถ้าลุงจะถอนแค่นี้ ลุงต้องไปถอนที่ตู้ค่ะ! (เสียงไม่พอใจ)

ลุง : ลุงกดไม่เป็น เลยมาถอนเงินที่เคาเตอร์
พนักงาน : ที่เคาเตอร์เค้าให้ถอนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปค่ะ!

ลุง : ถ้าอย่างงั้นลุงขอถอนหมดบัญชีเลยละกัน
พอพนักงานธนาคารตรวจดูเงินในบัญชีลุงดูก็ตกใจ เพราะเงินยอดเงินในบัญชีมีตั้ง 11 ล้านกว่าๆ
พนักงาน : เออ! ลุงจะถอนหมดในวันนี้ ทีเดียวเลยไม่ได้ค่ะ ลุงจะต้องแจ้งเรื่องไว้ก่อนล่วงหน้านะคะ

ลุง : แล้วลุงจะถอนมากที่สุดเดี๋ยวนี้ได้เท่าไหร่หล่ะ?
พนักงาน : 3 ล้านค่ะ!

ลุง : งั้นลุงถอน 3 ล้านเลยละกัน
แล้วพนักงานก็จัดการถอนให้และนับเงินให้ลุงจนครบ 3 ล้าน แล้วมอบให้แก่ลุง .. พอลุงแกรับเงิน แกก็แยกเงินออก 3,000 บาทแล้วพับใส่กระเป๋ากางเกง ส่วนเงินที่เหลือแกยื่นให้พนักงานแล้วพูดว่า
ลุง : ช่วยนับเงินที่เหลือ แล้วก็ฝากเข้าบัญชีผมเหมือนเดิมน่ะ
*** เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่ากวนตีนลุง!"

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

แพทย์ที่ดีที่สุดของโลก 7 คน

1.Sunlight แสงอาทิตย์
2. Rest การพักผ่อน
3. Exercise การออกกำลังกาย
4. Diet โภชนาการ
5. Positive Thinking. ความคิดในทางบวก
6. Self Confidence ความมั่นใจในตนเอง
7. Friend เพื่อน

เสื้อใหม่


เช้าวันหนึ่ง.. ภรรยาบอกกับสามีว่า..
"วันนี้ ฉันจะกลับบ้านไปเยื่ยมแม่
จะไปค้างสักคืนหนึ่ง แม่ไม่ค่อยสบาย
คุณจะขับรถไปส่งฉันหน่อยได้ไหม
ฝนตกหนักแบบนี้ ไปรถโดยสารไม่สะดวกเลย"..
สามี.. ซึ่งหน้าตาบูดบึ้งมาตั้งแต่เช้า
ไม่ตอบภรรยา.. แต่กลับกระชากเสียงถามกลับไปว่า..
"เมื่อวาน เธอซื้อเสื้อใหม่มาใช่ไหม.. 
เธอรับปากฉันแล้วนะว่าจะไม่ใช่เงินฟุ่มเฟือย
เรายังต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียน
ค่าใช้จ่ายเยอะแยะ.. ทำไม..ไม่ช่วยกันประหยัด!!"
ภรรยา ..พูดออกมาเสียงเบาๆ อย่างคนรู้สึกผิดว่า
"ที่แท้..คุณโกรธเรื่องนี้นี่เอง"..
ภรรยา.. ก้มหน้าจัดเสื้อผ้าเงียบๆ
แล้วบอกสามีว่า..
"วันนี้ มีรถโดยสารเข้าเมืองแค่เที่ยวเดียว
ฉันคงต้องรีบไปแล้วหละ..
คุณไม่ต้องไปส่งก็ได้.."
แล้วเธอก็ออกบ้านไป โดยสามีไม่สนใจเลย
เพราะยังโกรธอยู่มาก..
ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป..
สามีได้ยินเสียงเอะอะ บนถนน..
จึงออกไปดู แล้วจึงได้ยินผู้คนตะโกนกันว่า
ฝนที่ตกหนัก เซาะตลิ่ง 
จนสะพานเข้าเมืองได้ขาดลง 
มีรถเมล์คันหนึ่ง ตกลงไปในน้ำด้วย..
สามี..ได้ยินดังนั้น ตกใจมาก
กระโดดออกจากบ้านไปทันที
เมื่อไปถึงแม่น้ำ.. รถเมล์ที่ถูกเก็บกู้จากน้ำ
เหลือเพียงซากเหล็ก
สัมภาระกระเป๋าต่างๆ 
ของผู้โดยสารกระจัดกระจาย
มีการหามร่างของผู้เสียชีวิต คนแล้วคนเล่า
ขึ้นมาจากแม่น้ำ..
ชายหนุ่ม เฝ้ามองหาภรรยา .. ก็ไม่พบ
ก็เสียใจเจียนสิ้นสติ..
เฝ้าถามหน่วยกู้ภัยที่ทำงานอยู่
ว่า "เห็นภรรยาผมบ้างไหม ๆๆๆ
เธอใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีดำ"
ทุกคนส่ายหน้า... บอกว่าไม่เห็น.
เวลาผ่านไปจนเกือบเย็น.
กู้ภัย หยุดการทำงาน เพราะไม่มีผู้เสียชีวิต
ที่หาพบแล้ว
จึงบอกชายหนุ่มว่า.. "หักห้ามใจเถอะนะ
ภรรยาคุณ คงโดนน้ำพัดไปไกลแล้ว".
ชายหนุ่มเดินกลับบ้าน เหมือนคนไม่มีวิญญาณ
ร้องไห้ไป คร่ำครวญไปตลอดทาง
ในใจของเขา เฝ้าแต่คร่ำครวญว่า
"ทำไมๆๆๆ เราไม่ขับรถไปส่งเธอนะ...
เราไปด่าเธอทำไมว่าใช้เงินฟุ่มเฟือย
เสื้อตัวเดียว มันจะราคาเท่าไหร่กัน"
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน คาดไม่ถึงว่า..
ภรรยากลับนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
มีอาหารอยู่บนโต๊ะ.. 
ในมือเธอ มีเสื้อกันหนาวเก่าตัวหนึ่ง
ซึ่งเธอกำลัง เย็บซ่อมชายเสื้อที่รุ่ยอยู่..
"คุณไปไหนมาคะ .. ".. ภรรยายังพูดไม่ทันจบ
สามีก็ตรงเข้าไปกอดเธอจนแน่น..
"คุณเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ..
วันนี้ ฉันมัวเอาเสื้อไปคืนที่ร้าน
เสียเวลาอ้อนวอนให้เขารับคืนไปมาก
เลยไปขึ้นรถเมล์ไม่ทัน..
อากาศจะหนาวแล้ว ฉันเลยรื้อเสื้อเก่ามาซ่อม
ก็พอใส่ได้อีกหลายปีนะคะ
ฉันนี่แย่จริงๆ ของเก่าก็ยังมี
ไปซื้อของใหม่มาทำไม".

****เรื่องบางเรื่อง.. เราโกรธจนลืมไปว่า
มันไม่สำคัญเทียบเท่ากับ
"ความสุข" ของเราเลยนะ
เรื่องบางเรื่อง.. ไม่สำคัญเท่ากับ 
"ความสุข" ของคนที่เรารัก..
เรามีเวลาในโลกนี้... จำกัด..
เวลาที่ใช้ร่วมกัน ....ยิ่งจำกัด..
อะไรที่ไม่สำคัญมากพอ 
ก็อย่านำมาเป็นอารมณ์มากมายนักเลย
คลั่ง..กับเรื่องเล็กน้อยไปไย
ศิลปะแห่งปัญญา คือ
ความเข้าใจว่า.. ควรเครียดกับเรื่องใด
และควร ผ่อนปรน..ในเรื่องใด..

ชายผู้ยากจน

"ชายผู้ยากจน" อาศัยอยู่กับภรรยา 
วันหนึ่ง..ภรรยาผู้มีผมยาว
ได้ขอให้สามี..ซื้อหวีมาให้
เพื่อจะได้หวีผมให้เป็นทรง ให้ดูดี 
เขารู้สึกเสียใจที่จะต้อง..ปฎิเสธ
เนื่องจากเขาไม่มีแม้แต่เงิน
ที่จะไปซ่อมสายนาฬิกาที่ชำรุด 
ภรรยา..เข้าใจและไม่ว่าอะไร

ชายคนนั้นไปทำงาน และผ่านร้านนาฬิกา 
เขาตัดสินใจ..ขายตัวเรือนนาฬิกาในราคาแสนถูก
และนำเงินไปซื้อหวีให้ภรรยา 
พอตกเย็นกลับถึงบ้าน
ก็นำหวีที่ซื้อมาไปให้ภรรยา 
ปรากฎว่า...ภรรยาตัดผมสั้นเสียแล้ว

ภรรยาบอกว่าเธอตัดผมไปขาย
เพื่อซื้อสายนาฬิกาใหม่ให้สามี 
ทั้งสอง... " กอดกัน" ร่ำไห้
ไม่ใช่เสียดาย ไม่ได้เสียใจ
แต่ " ซ า บ ซึ้ ง " ใน "ความรัก" ที่มีให้กัน

ความรักไม่เท่าไหร่ แต่การ "ถู ก รั ก " นั้นมีค่ายิ่งนัก
และการถูกรักโดยคนที่เรารักนั้น...คือ 
" สิ่งที่มีค่า " สิ่งหนึ่งในชีวิตแล้ว
อย่า.. คิ ด รั ก เ พี ย ง เ ล่ น

ที่รักใจดีมากๆ


วันนึงผมไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ใกล้ที่ทำงาน 
ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น 
ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย 

"ฮัลโหล”
"หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
“ดีจัง ดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวย ดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ”
“แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
“สองหมื่นกว่าเองค่ะ”
“ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ”
“แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว
เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…”
“เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
“สี่ล้านสองเอง”
“โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ”
“ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…”
“อะไรล่ะ”
“คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ
เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว 
ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…”
“เท่าไหร่ล่ะ”
“ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…”
“เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น”
“แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ”
“ผมขอคิดดูหน่อยนะ”
“ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย
ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ”
“ก็แล้วแต่คุณละกัน”
“โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย”

เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วหันมาถามคนในห้องว่า
“ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องนี่ของใคร!!?” 

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2558

รถแท็กซี่มาจอดหน้าบ้าน




วันก่อนมีรถแท็กซี่มาจอดหน้าบ้าน วูบแรกที่เห็นรู้สึกไม่พอใจทันที เพราะเขาจอดขวางหน้าประตูบ้านเป๊ะ คิดว่าเดี๋ยวเราต้องเอารถเข้าออกลำบากแน่ และนั่นก็ต้นไม้ที่พ่อปลูกเพื่อให้ร่มเงาหน้าบ้าน ไม่ได้ปลูกไว้ให้ใครมาจอดรถซักหน่อย แต่ความไม่พอใจเกิดขึ้นเพียงแว้บเดียว ก็รีบเปลี่ยนความคิด มองว่าเขาคงเห็นที่ตรงนี้ร่มรื่นน่าสบาย จึงจอดพัก จะว่าไปถนนก็เป็นถนนสาธารณะและก็กว้างขวางพอที่เราจะถอยรถออกได้ ไม่ลำบากอะไร อีกอย่างเราก็ยังไม่ได้ไปไหนเลยนี่นา

พอคิดอย่างนี้แล้วสบายใจขึ้นแยะ ไม่นานก็เห็นคนขับเอาอาหารกล่องมาเปิดกินอย่างเอร็ดอร่อย ยิ่งทำให้รู้สึกดีมากๆ...ดีใจที่ต้นไม้ใหญ่ที่พ่อปลูกไว้ แผ่ร่มเงาเป็นประโยชน์กับผู้คน โดยเฉพาะคนที่กำลังเหนื่อยและหิวได้ใช้ที่ตรงนี้เป็นที่พักผ่อนเติมพลัง ที่สำคัญพอกินเสร็จเขาก็ออกรถไป ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน(อย่างที่คิด)ซักหน่อย!

พอเล่าให้ลูกฟัง ลูกบอกว่า ตอนแรกที่แม่ไม่สบายใจเพราะแม่คิดถึงแต่ตัวเอง บ้านของเรา...รถของเรา...ต้นไม้ของเรา ฯลฯ แต่ตอนหลังแม่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง แม่ก็เลยมีความสุข

นั่นสินะ...คิดว่าคนอื่นได้อะไร มันมีความสุขมากกว่าคิดว่าตัวเองเสียอะไรเยอะจริงๆ !

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมผมไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง

ทำงานที่บริษัทฯ ใกล้จะครบสามปีแล้ว เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาทีหลังผมต่างทยอยได้เลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น ผมกลับจมอยู่ที่เดิม

ความรู้สึกภายในจิตใจยากที่จะรับได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง เสี่ยงกับการถูกเลิกจ้าง ผมขอพบเจ้านายเพื่อคุยถึงสาเหตุ

"เจ้านาย ผมเคยมาสาย กลับก่อนเวลา หรือ ละเมิดกฎระเบียบหรือไม่"

เจ้านายตอบทันทีว่า "ไม่เคยและไม่มี"

"ถ้าเช่นนั้น เป็นเพราะบริษัทฯมีความลำเอียง อยุติธรรมกับผมหรือ"

เจ้านายอึ้งก่อน แล้วพูดว่า "ไม่มี ไม่ใช่แน่นอน"

"แล้วทำไม ผู้ที่อายุงานน้อยกว่าผม กลับได้รับความสำคัญ ความไว้วางใจในหน้าที่ปฎิบัติงาน แต่ผมกลับอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่สำคัญมาตลอด"

เจ้านายนิ่งเงียบ ไม่สามารถหาคำพูดมาตอบผมทันที จากนั้นยิ้มๆ แล้วพูดว่า

"ปัญหาของเธอเดี๋ยวเราค่อยคุยกันใหม่
เวลานี้ ผมมีเรื่องเร่งด่วนสำคัญอยู่เรื่องหนึ่ง ช่วยผมจัดการไปก่อน มีลูกค้าเจ้าหนึ่ง เตรียมตัวมาที่บริษัทฯ เพื่อตรวจสอบสินค้า"

เจ้านายให้ผมติดต่อพวกเขา สอบถามว่า จะมาถึงเมื่อไหร่ ผมคิดในใจว่า
"นี่หรือ งานเร่งด่วนเร่งรีบที่สำคัญ"

ก่อนก้าวออกจากประตู ผมอดไม่ได้จะคิดเยาะเย้ย สิบห้านาทีไม่ถึง ผมกลับเข้าไปในห้องทำงานของเจ้านาย

"ติดต่อได้หรือยัง" เจ้านายถาม

"ติดต่อได้แล้ว พวกเขาบอกว่า อาจจะมาสัปดาห์หน้า"

"สัปดาห์หน้า วันเฉพาะเจาะจงคือวันไหน"

"ผมไม่ได้ถามรายละเอียด"

"พวกเขาจะมากันกี่คน"

"โอ้...ท่านไม่ได้ให้ผมถามเรื่องนี้น่ะ"

"งั้นพวกเขาจะมาทางรถไฟหรือเครื่องบิน"

"นี่ท่านก็ไม่ได้บอกให้ผมถามสักหน่อย"

เจ้านายไม่พูดอะไรอีก ท่านโทรศัพท์เรียกจูเจิ้นเข้ามา

จูเจิ้นเข้ามาบริษัทฯหลังผมหนึ่งปี ตอนนี้เป็นผู้ควบคุมรับผิดชอบแผนกหนึ่งไปแล้ว เขาได้รับหน้าที่เหมือนกันกับผมที่ได้รับเมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปครู่เดียว จูเจิ้นก็เดินกลับมา

"อ้อ...เป็นอย่างนี้" จูเจิ้นเริ่มรายงาน
"พวกเขาจะมาโดยเครื่องบิน เที่ยวบ่ายสามโมง วันศุกร์ จะมาถึงประมาณหกโมงเย็น เดินทางมาทั้งหมดห้าคน นำคณะโดยฝ่ายจัดซื้อผู้จัดการหวัง"

"ผมบอกพวกเขาแล้วว่า ทางบริษัทฯเรา จะส่งคนไปรับ นอกเหนือจากนี้ พวกเขาวางแผนตรวจสอบสองวัน รายละเอียดเจาะจงเมื่อพวกเขามาถึงแล้ว ค่อยปรึกษาหารือร่วมกันทั้งสองฝ่าย"

"เพื่อความสะดวกในการปฎิบัติงาน ผมขอเสนอจัดหาที่พักระดับอินเตอร์ที่อยู่ใกล้กับบริษัทฯให้แก่พวกเขา หากท่านเห็นด้วย พรุ่งนี้ผมก็จะจองห้องพักไว้ล่วงหน้า"

"นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่อง กรมอุตุฯ รายงานว่า สัปดาห์หน้าฝนจะตก ผมจะคอยติดต่อสื่อสารพวกเขาตลอด หากมีสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ผมจะรายงานท่านทันที"

หลังจากจูเจิ้นออกไปจากห้องแล้ว เจ้านายแตะไหล่ผม แล้วพูดว่า
"ตอนนี้ เรามาคุยถึงปัญหาของของเธอต่อ"

"ไม่ต้องแล้ว ผมรู้สาเหตุแล้วว่าเพราะเหตุใด รบกวนท่านมากแล้ว"

ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า ไม่มีใครเกิดมาก็สามารถแบกรับภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ ล้วนเริ่มจากความเรียบง่าย เริ่มทำจากเรื่องเล็กๆที่เรียบง่าย วันนี้ เธอติดแผ่นฉลากให้เธอเองเช่นไร อาจกำหนดตัดสินว่า พรุ่งนี้เธอจะเป็นผู้ที่สมควรได้รับมอบหมาย ภารกิจที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่

ระยะห่างของความสามารถ มีผลกระทบโดยตรงกับผลของชิ้นงาน ไม่ว่าองค์กรใดบริษัทฯใด ก็ต้องการบุคคลที่ทำงาน ที่มีความสามารถ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่ในตัวตัวเอง

พนักงานที่มีความโดดเด่น ยอดเยี่ยม ล้วนไม่ต้องให้ผู้อื่นมาบอกมากล่าวว่า
จะต้องทำอะไรถึงจะขยับตัวทำ แต่จะทำความเข้าใจด้วยตนเองว่า สมควรทำอะไร หลังจากนั้นทุ่มเทแรงกาย แรงใจ กระทำจนสำเร็จ

ท่องไว้ในใจนะ......นายสั่งให้ทำหนึ่ง...สอง...สาม....

สิ่งที่เราทำคือ..หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก...เจ็ดแปดเก้า เก็บไว้ในกระเป๋า....สิบสิบเอ็ดสิบสอง อยู่ในสมอง....ทันที พร้อมเอาออกมาใช้ในทุกสถานการณ์

ต้องขอขอบคุณมุมมองความคิดดีดี "  Pink Planet TH "

มีมดในสมองคน

ตามปกติแล้ว คนเราจะ "คิดลบ" เพื่อความอยู่รอดของเราครับ
เช่น สมัยก่อนที่เราเป็นมนุษย์ถ้ำ หากเรา เห็นพุ่มไม้ไหว ๆ
สมองของเราจะคิดลบก่อนเลยว่า
ข้างหลังพุ่มไม้นั้น อาจเป็น "เสือ" ที่จะทำอันตรายเรา

เราจะไม่ "คิดบวก" ว่า ข้างหลังพุ่มไม้นั้นเป็น "กระต่าย" เพื่อเราจะจับไปเลี้ยงดูเล่น  

การคิดลบแบบนี้นี่เองครับ
ที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา "อยู่รอด" มาจนถึงทุกวันนี้
แต่เนื่องจากปัจจุบัน เสือทั้งหลายได้ถูกจับไปไว้ในกรงเกือบหมดแล้ว
โอกาสที่เราจะเจอเสือจริง ๆ น้อยมาก
แต่ "สมอง" ของเรา ก็ยังติดกับการคิดลบแบบนี้อยู่ ทำให้เรามีความทุกข์

ซึ่งการคิดลบแบบนี้ทำให้เกิด "มด" ตัวที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเรา
ซึ่งมดตัวที่ว่านี้ คือ Automatic Negative Thoughts : ANTs
ซึ่งหมายถึงการเป็น "คนคิดลบโดยอัตโนมัติ"

Dr. Daniel G. Amen ซึ่งเป็นจิตแพทย์ชื่อดังของ USA กล่าวว่า
ในสมองของคนเรามี "มดอยู่ 9 สายพันธุ์"
ที่ทำให้เราเกิดความทุกข์
เรามาลองดูว่า มีมดสายพันธุ์ไหนบ้าง ที่อยู่ในสมองของเรา

1. สายพันธุ์ "เสมอ" และ "ไม่เคย" (ANT 1 "Always" and "Never")
มดสายพันธุ์นี้มีมากที่สุด เช่น เคยไหมที่เราชอบคิดว่า
"เขาไม่เคยฟังฉันเลย" "ฉันผิดพลาดเสมอ" "เขาขึ้นเสียงกับฉันทุกครั้ง"
ซึ่งจริง ๆ แล้ว เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบนี้
แต่สมองจะคิดแบบเหมารวม
โดยที่จริงแล้ว เขาก็ฟังเราบ้าง เราก็ทำถูกบ้างผิดบ้าง หรือ บางทีเขาก็รับฟังเราไม่ได้ขึ้นเสียงกับเราทุกครั้ง เป็นต้น

2. สายพันธ์ "เมินสิ่งดี ดูสิ่งลบ" (ANT 2 "Focusing on the Negative")
มดสายพันธุ์นี้ ทำให้เรามองแต่เฉพาะด้านลบ
เช่น "ล้างรถทีไร ฝนตกทุกที" แต่จริง ๆ แล้ว
เราล้างรถ 10 ครั้ง ฝนอาจจะตก 1 ครั้ง
แต่เรามัก Focus ไปที่ความคิดด้านลบ  

3. สายพันธุ์ "หมอดูซาดิสต์" (ANT 3 "Foutune Telling")
มดสายพันธุ์นี้ร้ายกาจมาก เป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตเรา
เช่น เราคิดว่า "เดี๋ยวตอนที่เราขึ้นไปพูดบนเวที คนคงหัวเราะเยาะเราแน่"
ซึ่งการคิดแบบนี้ จะทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นผิดปกติ มือสั่น ขาสั่น เสียงสั่น และลืมบท ทำให้เวลาขึ้นไปพูด คนก็จะหัวเราะเยาะเราจริง ๆ

4. สายพันธุ์ "อ่านใจไปเรื่อยเปื่อย" (ANT 4 "Mind Reading")
มดสายพันธุ์นี้ ชอบเดาใจ คิดไปเองในแง่ลบ เช่น เห็นคนจับกลุ่มคุยกัน
ก็คิดว่า "คนพวกนั้น กำลัง นินทาเราแน่ ๆ เลย"  หรือ
หัวหน้าพูดอะไรในภาพรวมในที่ประชุมก็คิดว่า
"หัวหน้ากำลังหมายถึงเราแน่เลย"
ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการคิดไปเอง

5. สายพันธุ์ "รู้สึก...แต่ไม่นึกคิด" (ANT 5 "Thinking with Your Feelings")
 มดพันธุ์นี้ ทำให้เราชอบมีความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ
เช่น "ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นส่วนเกินของหน่วย" "ฉันรู้สึกว่าใคร ๆ ก็ไม่รักฉัน" ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นความรู้สึกของเราเอง ไม่ใช่ความรู้สึกที่คนอื่นมีต่อเรา

6. สายพันธุ์ "หมกมุ่นอยู่กับอดีต" (ANT 6 "Guilty of Beating)
มดสายพันธุ์นี้ทำให้เราชอบย้อนคิดถึงอดีต เช่น
ติดคำพูดว่า "ถ้าเพียงแต่ตอนนั้น เราไม่ตัดสินใจผิด ชีวิตเราคงไม่เป็นแบบนี้" หรือ
"ไม่น่าเลย ฉันไม่น่าพูดกับพ่อแม่อย่างนั้นไปเลย"
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ควรเอา อดีตเป็น "ห้องขัง" ชีวิตเรา
แต่ควรใช้อดีตเป็น "ห้องเรียน" ที่เราจะไม่ทำแบบนั้นอีก

7. สายพันธุ์ "ตราหน้า แล้วด่าให้ยับ" (ANT 7 "Labeling")
มดพวกนี้ ชอบตราหน้าคนอื่น
เช่น "ไอ้พวกรากหญ้า คิดไม่เป็น"  "ไอ้พวกคนจีนเสียงดัง"
"ไอ้พวกเด็กเจนวายหัวดื้อ"  ซึ่งแท้จริงแล้ว
มีคนรากหญ้ามากมายที่หัวดีกว่าคนจบปริญญาเอก
มีคนจีนมากมายที่มีกิริยาเรียบร้อย
และมีเด็กเจนวายมากมายที่น่ารักและเคารพผู้ใหญ่

8. สายพันธู์ "เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น" (ANT 8 "Personalization")
มดพันธุ์นี้มาจากนิทานเรื่องหนึ่ง ที่มีไก่ตัวหนึ่งลุกออกไปขันทุกเช้า
พอวันหนึ่ง ไก่ป่วยหนักมาก ลูก ๆ ก็บอกว่า พ่อวันนี้ไม่ต้องไปขันหรอก
แต่พ่อบอกว่าไม่ได้หรอก "เพราะพ่อขัน ตะวันจึงขึ้น
ถ้าพ่อไม่ออกไปขัน ดวงอาทิตย์จะไม่ขึ้น แล้วโลกจะแย่แน่"
ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด หลงตัวเอง คิดว่าตัวเอง คือคนสำคัญเกินเหตุ

9. สายพันธุ์ "คุณน่ะทำ" (ANT 9 "Blame")
มดสายพันธุ์นี้น่ากลัวที่สุด เพราะจะทำให้เราคิดว่า
ที่ชีวิตเราเป็นแบบทุกวันนี้ เพราะ
พ่อแม่ หัวหน้า เพื่อน สังคม ฯลฯ เป็นต้นเหตุ
มดสายพันธุ์นี้ทำให้เรา "โทษคนอื่น"
โดยไม่ยอม หันมาดูตัวเอง
ซึ่งการคิดแบบนี้ เป็นการคิดแบบ "เหยื่อ"
คือ คิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อของการกระทำของคนอื่น
ซึ่งทำให้ชีวิตหมดพลัง และไร้คุณค่า อีกทั้งจะไม่ยอมปรับปรุงตัว

เป็นไงครับ ยาวหน่อย
แต่ผมคิดว่ามีประโยชน์มาก ๆ
อ่านแล้วลองคิดดูนะครับว่า
เมื่อไหร่ ก็ตามที่เราคิดลบ หรือมีความทุกข์
แปลว่า "มดตัวใดตัวหนึ่งกำลังอาละวาดอยู่ในสมองเราแล้ว"
รู้แล้วก็รีบกำจัดมดตัวร้ายนั้นนะครับ เพื่อชีวิตที่มีพลังและมีความสุขของตัวเราเองและคนที่เรารักครับ

วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558

มือถือผมอยู่ไหน

ขณะที่ผมยืนรอรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าชิดลม มีผู้ชายตัวเล็กมายืนข้างผม ท่าทางมีพิรุธ ผมรู้สึกแปลกๆเลยลองเอามือตบที่กระเป๋ากางเกง

มือถือผมหายไป!! ผมมองไปที่ชายคนนั้น เขาก็มองมาที่ผมแล้วมีท่าทางจะเดินหนี ผมรีบจับเขาไว้

"มือถือผมอยู่ไหน"

"มือถืออะไร จะไปรู้ได้ไง"

"ก็มือถือกูที่มึงเอาไปอ่ะ"

ด้วยความโมโห ผมเริ่มค้นตัวเขา แต่ผมหาไม่เจอ ผมว่ามันต้องมีเพื่อนร่วมแก็ง พอมันขโมยได้แล้วคงส่งต่อให้เพื่อนมัน ถึงตอนนี้คนที่อยู่แถวนั้นเริ่มมองมาที่ผมและขโมยคนนี้

ผมเอามือถือมันโทรเข้าเครื่องผม โทรติด ผมคิดในใจ มันกล้ามากที่ไม่ปิดเครื่องหนี คงเป็นเพราะผมจับเพื่อนร่วมแก็งมันได้ รออยู่ซักพักถึงมีคนรับสาย

"เอามือถือกูคืนมานะ อ้ายสาดดด"

"มึงก็มาเอาเองสิ ไอ้เชี่ย มึงลืมไว้ที่บ้าน" เมียผมบอก..

ภรรยาตนต่อสู้กับคนร้าย

ใกล้รุ่งสาง สมชายย่องกลับบ้านตามประสาผู้ชายหลั่นล้าที่หนีเมียเที่ยว ถึงหน้าบ้านก็พบตำรวจ รถพยาบาล กับหน่วยกู้ชีพ วุ่นวายเต็มบ้าน สมชายแสดงตัวเป็นเจ้าของบ้าน สอบถามตำรวจก็ทราบว่า ภรรยาตนต่อสู้กับคนร้ายที่ย่องเข้าบ้านยามวิกาล ซึ่งขณะนั้นหมอกำลังปั้มหัวใจคนร้ายอยู่ โดยคนร้ายอยู่ในสภาพยับเยิน สมชายมองเห็นภรรยายืนตัวสั่น จึงเข้าไปปลอบ "คุณกล้าหาญมากที่รัก" ภรรยานิ่งสักครู่ก่อนตอบด้วยเสียงตื่นเต้นว่า 

"กูคิดว่าเป็นมึง"

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

ขวดเปล่า

ขวดเปล่า...หากใส่น้ำเปล่า... จะมีค่า 5 บาท
ขวดเปล่า...หากใส่น้ำหวาน... จะมีค่า 10 บาท
ขวดเปล่า...หากใส่น้ำผึ้ง... จะมีค่า 300 บาท
ขวดเปล่า...หากใส่น้ำหอม... จะมีค่า 10,000 บาท
จิตใจของคนเราก็เปรียบได้เหมือนกับขวดเปล่า...
จะมีคุณค่าแค่ไหนขึ้นอยู่กับสิ่งที่ใส่ลงไป

เจ้าสัวกับเมีย


ลูกค้า: เป็นไง ไม่เจอกันตั้งนาน เจ้าสัวกับเมียสบายดีหรือเปล่า
 
เจ้าสัว: อั๊วกับเมียเลิกกันแล้ว
 
ลูกค้า: อ้าว!ทำไมถึงเลิกกันล่ะ
 
เจ้าสัว: อั๊วจับได้ว่าอีเป็นผู้หญิงกลางคืน
 
ลูกค้า: แค่นี้เอง ถึงกับเลิกเลยหรือ
 
เจ้าสัว: มันเป็นผู้หญิงกลางคืน กลางวันมันเป็นผู้ชาย